นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งมั่นพัฒนาพื้นที่ EEC ซึ่งได้วางรากฐานไว้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 ทั้งการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค ระบบโครงข่ายคมนาคมไร้รอยต่อ ทั้งทางน้ำ อากาศ และถนน โดยหลายอย่างอยู่ระหว่างดำเนินการ ให้เป็นไปตามกฏหมายทุกประการ เพื่อยกระดับการขนส่งและโลจิสติกส์ รองรับการเป็นเมืองใหม่อัจฉริยะ และอุตสาหกรรมอัจฉริยะ รวมถึงพลังงานสะอาด ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแผนดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค รวมทั้งมาตรการส่งเสริมเทคโนโลยี เพื่อยกระดับโครงข่ายคมนาคม 2561-2570 ทั้งหมด 77 โครงการ (วงเงิน 3.3 แสนล้านบาท ) เชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ EEC จะเป็นศูนย์กลางสำคัญทางเศรษฐกิจของทั้งประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ระยะเร่งด่วน (เริ่มต้นปี 2566) จำนวน 29 โครงการ วงเงินรวม 125,599 ล้านบาท เช่น
- โครงการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มความจุทางรถไฟ ช่วงหัวหมาก - ฉะเชิงเทรา - ศรีราชา (125 กิโลเมตร)
- โครงการรถไฟทางคู่ ช่วงศรีราชา - มาบตาพุด (70 กิโลเมตร)
- โครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนรองเพื่อรองรับโครงการรถไฟความเร็วสูง ระยะที่ 1
- โครงการก่อสร้างทางขับอากาศยาน High Speed Taxiway และ Taxiway เพิ่มเติม ที่ท่าอากาศยานอู่ตะเภา
- โครงการพัฒนาระบบการจราจรขนส่งอัจฉริยะ
- โครงการพัฒนาระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้า ระยะที่ 2
- โครงการจัดหาพลังงานสะอาด
ระยะกลาง (เริ่มต้นปี 2567 – 2570) จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวม 212,197 ล้านบาท เช่น
- โครงการ Dry Port ฉะเชิงเทรา
- โครงการมอเตอร์เวย์ ระยะที่ 2
- โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงศรีราชา – ระยอง
- โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย ระยะที่ 2 และปรับปรุงท่าเทียบเรือแหลมบาลีฮาย ระยะที่ 1
- โครงการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานของระบบ M-Flow บนมอเตอร์เวย์สาย 7
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ มีดังนี้
- ด้านเศรษฐกิจ เช่น เกิดการจ้างงานระหว่างก่อสร้าง ปี 2566-2570 เฉลี่ยประมาณ 20,000 ตำแหน่ง/ปี และปี 2571-2580 ประมาณ 12,000 ตำแหน่ง/ปี และยกระดับ National Gateway สนับสนุนการพัฒนาพื้นที่การลงทุน และการท่องเที่ยวของพื้นที่ EEC
- ด้านสังคม โดยมีระบบขนส่งมวลชนที่ทันสมัย คุณภาพสูง เชื่อมการเดินทาง แบบไร้รอยต่อ สะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ และมีระบบไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพที่ดี รองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ด้านโลจิสติกส์ เช่น มีเส้นทางรถไฟทางคู่เพิ่มขึ้น 275 กิโลเมตร และมีเส้นทางรถไฟความเร็วสูง 155 กิโลเมตร สนามบินอู่ตะเภาสามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านคน/ปี ท่าเรือแหลมฉบังสามารถรองรับตู้สินค้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 18 ล้านตู้/ปี และรองรับรถยนต์ได้ 3 ล้านคัน/ปี และท่าเรือมาบตาพุดสามารถรองรับสินค้าได้เพิ่มขึ้นเป็น 60 ล้านตัน/ปี