เริ่มมีผลบังคับใช้แล้วสำหรับกฎหมายจราจรฉบับใหม่ หรือ พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับที่ 13 พ.ศ.2565 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2565 และให้มีผลบังคับใช้ใน 120 วัน นับจากวันประกาศ ซึ่งตรงกับวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา
กฎหมายจราจรใหม่ ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับที่ 13 มีรายละเอียด ดังนี้
1. เพิ่มโทษผู้ขับขี่ที่กระทำผิดซ้ำข้อหาเมาแล้วขับ
2. เพิ่มอัตราโทษที่เป็นปัจจัยต่อการเกิดอุบัติเหตุ เป็นปัจจัยเสี่ยง ในการสูญเสียของผู้ขับขี่และผู้ใช้ทาง
3. กำหนดความผิดเกี่ยวกับการแข่งรถในทางเพิ่มเติมดังนี้
4. กำหนดเรื่องการรัดเข็มขัดนิรภัย
สำหรับที่ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 6 ปี ยังไม่เริ่มบังคับใช้ในวันที่ 5 กันยายน 2565 แต่จะบังคับใช้เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำประกาศและลงประกาศให้ประชาชนทราบในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
อย่างไรก็ตามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก สำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนนจะประชุมเพื่อกำหนดมาตรฐาน/ลดอัตราภาษีของที่นั่งนิรภัย รวมถึงวิธีป้องกันอันตรายในกรณีที่ไม่สามารถใช้ที่นั่งนิรภัยได้เพื่อจัดทำประกาศ เรื่อง การใช้ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กให้แล้วเสร็จภายใน 4 ธันวาคม 2565
อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายจราจรฉบับใหม่มีผลบังคับใช้แล้วแต่เพื่อทำความเข้าใจแก่ประชาชนในช่วงเปลี่ยนผ่านในระยะเวลา 3 เดือนภายหลังจากมีการประกาศบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่นั้น ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะยังใช้เกณฑ์ค่าปรับใบสั่งจราจรตามกฎหมายเดิมไปก่อน เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงในการใช้ พ.ร.บ.จราจรทางบก ฉบับที่ 13 พ.ศ. 2565 นี้
นอกจากนี้ ครม.ได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีจราจร พ.ศ. …. ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีสาระสำคัญ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1
ความผิดจราจรบางฐานที่กำหนดไว้เฉพาะ เช่น ขับรถโดยไม่มีใบขับขี่ ขับรถในระหว่างใบขับขี่ถูกพักใช้ เพิกถอน หรือหมดอายุ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร ขับรถด้วยความเร็วเกินกำหนด ร่าง พ.ร.บ.นี้ กำหนดห้ามไม่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เปรียบเทียบปรับหรือออกใบสั่งแก่ผู้ฝ่าฝืน แต่ให้ผู้นั้นไปพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้พนักงานสอบสวนดำเนินการออกใบนัดให้ผู้นั้นไปศาลต่อไป
กลุ่มที่ 2
ความผิดอื่นที่สามารถเปรียบเทียบปรับได้ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก กฎหมายว่าด้วยรถยนต์ กฎหมายว่าด้วยขนส่งทางบก กฎหมายว่าด้วยทางหลวง และกฎหมายว่าด้วย การทางพิเศษแห่งประเทศไทย โดยไม่รวมถึงกรณีที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ให้เปรียบเทียบปรับได้ แต่หากผู้กระทำผิดไม่ยอมให้เปรียบเทียบปรับหรือไม่ยอมจ่ายค่าปรับ ให้พนักงานสอบสวน
ดำเนินการออกใบนัดให้ผู้นั้นไปศาลต่อไป
กลุ่มที่ 3
ความผิดนอกจากกลุ่มที่ 1 และ 2 ที่มีความร้ายแรง เช่น ความผิดฐานเมาแล้วขับ กำหนดให้สอบสวนและดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตาม ป.วิ.อาญา หรือกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงแล้วแต่กรณี โดยศาลอาจกำหนดมาตรการลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้เพิ่มเติม แก่ผู้กระทำความผิดได้
ทั้งนี้ คดีจราจรกลุ่มที่ 1 และ 2 ให้พนักงานสอบสวนส่งคู่ฉบับใบนัดให้ศาลภายใน 3 วันนับแต่วันที่ออกใบนัด แต่หากผู้ต้องหายอมชำระค่าปรับ ก็ให้คดีเป็นอันเลิกกัน และในวันที่มาศาล หากจำเลยรับสารภาพศาลพิพากษาโดยไม่ต้องสืบพยานก็ได้ แต่ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การหรือให้การปฏิเสธ ให้ศาลใช้ดุลพินิจว่าหลักฐานเพียงพอหรือไม่ ถ้าเพียงพอให้ศาลพิพากษาคดีทันที ถ้าไม่เพียงพอให้นัดสืบพยานต่อไป และศาลมีอำนาจใช้มาตรการลงโทษแก่จำเลยซึ่งมีความผิดนอกจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายเรื่องนั้นๆ ได้ เช่น ยึด พักใช้ หรือ เพิกถอน ใบอนุญาตขับขี่ ให้ทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ให้เข้ารับการศึกษาอบรมด้านการจราจร เป็นต้น
ร่างกฎหมายดังกล่าวออกมาเพื่อให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากปัจจุบันสถิติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคดีจราจรในแต่ละปีมีจำนวนมาก สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากผู้ขับขี่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายจราจร ไม่เกรงกลัวต่อบทลงโทษของกฎหมาย ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรและผลกระทบถึงความปลอดภัยต่อชีวิตร่างกายและจิตใจของผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลทั่วไป อีกทั้งมาตรการบังคับใช้กฎหมายยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำให้ผู้กระทำผิดชำระค่าปรับตามกฎหมายน้อยมาก เนื่องจากกฎหมายให้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ออกใบสั่งต่อผู้กระทำผิดกฎจราจรเพื่อลงโทษปรับตามกฎหมาย